บริดจสโตนเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน             

By / 1 year ago / News / No Comments
บริดจสโตนเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน             

  กับโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่โรงงานในประเทศไทย

บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด (ไทยบริดจสโตน) เดินหน้าติดตั้งระบบ
ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ณ โรงงานหนองแค จังหวัดสระบุรี โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 9.95 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหญ่ที่สุดของกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนทั่วโลก คาดว่าจะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ประมาณ 97,500 ตัน ในอีก 15 ปีข้างหน้า*1

โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับ “Bridgestone E8 Commitment (พันธสัญญา E8 ของบริดจสโตน)”*2
ใน “ด้าน Energy (พลังงาน) ด้วยการตระหนักถึงสังคมแห่งการเดินทาง ตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” “ด้าน Ecology (สิ่งแวดล้อม) ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชั่นในผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์
ที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อคนรุ่นต่อไปในอนาคต” และ “ด้าน Economy (เศรษฐกิจ) ด้วยการ
สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจของการเดินทางและการดำเนินธุรกิจ” 

การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาจะช่วยให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนทั่วทั้งธุรกิจ และเป็นแรงบันดาลใจให้เราก้าวไปสู่วิสัยทัศน์ของบริดจสโตนในฐานะองค์กรผู้ส่งมอบโซลูชั่น
อย่างยั่งยืนภายในปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) นอกจากนี้ยังตอกย้ำความสำคัญของฐานการผลิตยางรถยนต์ในประเทศไทยด้วย โดยในพิธีเปิดโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ณ โรงงานหนองแค จังหวัดสระบุรี คณะผู้บริหารจากกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตน นำโดยนายมาซาฮิโระ ฮิกาชิ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วมสูงสุด บริษัท บริดจสโตน คอร์ปอเรชั่น จำกัด และนายยาสึฮิโร่ โมริตะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท บริดจสโตนเอเชียแปซิฟิก จำกัด ได้ให้เกียรติเข้าร่วมพิธีและเป็น
สักขีพยานในความสำเร็จของโครงการซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 นับเป็นการยกระดับการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2564 กลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนได้เริ่มใช้ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ณ บริษัท บริดจสโตน ไทร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด
เป็นที่แรกในประเทศไทย


“ด้วยการยึดมั่นในพันธกิจ “รับใช้สังคมด้วยคุณภาพที่เหนือกว่า” รวมถึงให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลกเสมอมา ทำให้กลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนขยายและพัฒนาธุรกิจไป
ทั่วโลกภายใต้กรอบความยั่งยืนเพื่อส่งมอบคุณค่าแก่สังคมและลูกค้า สนับสนุนการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและความเป็นกลางทางคาร์บอนตลอดการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายสิ่งแวดล้อมระยะกลาง ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 50%*3 และนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 5 เท่า*4 ตลอดวงจรชีวิต*5 ของผลิตภัณฑ์และห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573)” นายโยชิคาซึ ชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริดจสโตนเอเชียแปซิฟิก จำกัด กล่าว

“จากความมุ่งมั่นตามพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของบริดจสโตน ตลอดจนสนับสนุนสังคมที่ยั่งยืนในประเทศไทยให้เกิดขึ้นจริง ไทยบริดจสโตนได้นำแนวความคิดริเริ่มในการรักษาสิ่งแวดล้อมมาใช้ในโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะการยกระดับการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ ปีนี้จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวย่างที่สำคัญของไทยบริดจสโตน โดยร่วมมือกับบริษัท อิมแพคท์ โซล่าร์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา ณ โรงงานหนองแค มีกำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด 9.95 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาแห่งใหญ่ที่สุดของกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนทั่วโลก ทั้งยังสะท้อนถึงความสำคัญของประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตยางรถยนต์คุณภาพของกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนนายเคอิจิ ชูมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด กล่าว “นับเป็นการทำงานอย่างเข้มแข็งและมุ่งมั่นของทีมงานบริดจสโตนประเทศไทยทุกคนที่ทำให้ความคิดริเริ่มนี้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และเรายังคงเดินหน้าสู่เส้นทางการสร้างคุณค่าร่วมและการสร้างความยั่งยืนให้สังคมและลูกค้าต่อไป” 

ปัจจุบัน บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด โรงงานหนองแค มีกำลังการผลิตยางสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (PSR) และยางสำหรับรถกระบะหรือรถบรรทุกขนาดเล็ก (LVR) รวม 202 ตันต่อวัน บนพื้นที่โรงงานทั้งหมด 660,000 ตารางเมตร ซึ่งโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงงานดังกล่าว
ถือเป็นการขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
เข้าไปเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนตามเจตนารมณ์ของบริดจสโตนในการมีส่วนร่วมเพื่อสังคมที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น